อยากรู้อะไร? ค้นหาเลย

คุณมีความพอใจบล๊อคนี้ยังไง ?

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
นางสาว ณัฐธิชา พัชรไพลิน นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะการบัญชีและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ตำนานวัน Halloween

งานฮาโลวีนทีมีในปัจจุบันนั้นเชื่อว่ามีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเคลต์ (Celts) ในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่เรียกว่า Samhain คำนี้หมายถึงวันสิ้นสุดฤดูร้อน และเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตายด้วย วันนี้จะเป็นวันที่เส้นกั้นเขตแดนระหว่างคนเป็นกับคนตายเปราะบางมากที่สุด และเหล่าวิญญาณจะออกมาปะปนกับผู้คนบนโลกมนุษย์ได้ ค่ำ คืนวันที่ 31 ตุลาคมซึ่งเป็นคืนก่อนวันฉลอง Samhain จะเรียกวิญญาณของผู้ที่ตายในปีนั้นทั้งหมดขึ้นมาปรากฎตัวบนโลกบ้างก็ว่า เพื่อให้ผู้ตายไปเยี่ยมญาติ บ้างก็ว่าเพื่อให้ผู้ที่ถูกพิพากษาให้เข้าสิงสถิตในร่างสัตว์ขึ้นมาหาร่าง ใหม่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ทำ ให้ผู้คนชาวเซลท์ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ก็จะพากันแต่งตัวเป็นผีปีศาจหลากหลายประเภท มีการจัดเดินขบวนพาเหรดผี และส่งเสียงดังรอบๆ บ้านของเพื่อนบ้าน ทำบรรยากาศให้น่ากลัวเท่าที่จะทำได้ เพื่อหวังว่า เหล่าจิตวิญญาณที่จะคอยจ้องจะมาสิงเข้าร่างของพวกเขาจะเกิดความกลัวและหนีไป เพราะความตกใจในที่สุด
นอกจากนี้คืนดังกล่าวจะเป็นคืนเฉลิม ฉลองการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยวและอาจมีการนำสัตว์หรือพืชผลมาบูชายัญ ให้กับเหล่าภูติผีและวิญญาณด้วย หลังจากคืนนั้นไฟทุกดวงจะถูกดับและจุดขึ้นใหม่ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ของชาว เซลท์ ในสมัยต่อชาวโรมันคาทอลิกต้องการกำจัดพิธีเฉลิมฉลองของกลุ่มชนนอกศาสนา คริสต์เหล่านี้ สันตะปาปา Gregory ที่ 4 ได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกายนให้เป็นวันเฉลิมฉลอง All Saints Day หรือ All Hallows Day สำหรับชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงนักบุญและผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่การเฉลิมฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคมหรือ Hallow’s Eve ก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันแต่ชื่อเรียกได้เพี้ยนไปเป็น Halloween
ประเพณี ของวันฮาโลวีน นี้ได้นำเข้ามาเผยแพร่ใน อเมริกา ตอนปี ค.ศ.1840 โดยคนอังกฤษที่ได้หลบหนีเข้าประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นในประเทศอังกฤษได้มีพวกที่นิยมแต่งตัวประหลาดแล้วยัง รวมไปถึงการเดินเหยียบย่ำและพังรั้วบ้าน แต่ประเพณีของการหยอกเล่นให้กลัวนั้น จริงๆแล้วไม่ได้เกิดมาจากคนกลุ่มเซลท์จากไอร์แลนด์ แต่ช่วงศตวรรษที่ 9 คนยุโรป ได้ตั้งชื่อเรียกว่า วันจิตวิญญาณ คือวันที่ 2 ของเดือนพฤศจิกายน จะมีการเดินขบวนจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่งเพื่อที่จะขอขนมเค้กแห่ง จิตวิณญาณซึ่งทำมาจากขนมปังทรงสี่เหลี่ยมและใส่ลูกเกดด้วย ยิ่งขอขนมได้มากเท่าไร คำอธิฐานของผู้ที่ให้ขนมก็จะฝากมากับผู้ขอบริจาคขนมมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เหมือนกับว่าผู้ขอขนมจะต้องเป็นตัวแทนในการที่จะพูดคุยกับคนตายที่เป็นญาติ กับผู้ที่บริจาคขนม ในเวลานั้นมีความเชื่อว่าคนตายนั้นจะถูกกักกันไว้ในนรก และถ้ามีผู้มอบส่วนบุญให้ ถึงแม้จะเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม มันจะช่วยเร่งและปลดปล่อยให้พวกวิญญาณเหล่านั้นขึ้นไปสู่สวรรค์ได้
เป็น อย่างไรกันบ้างคะสำหรับตำนานวันฮาโลวีน ดูแล้วก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันนะคะ แต่เรื่องราวในวันฮาโลวีนคงยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์แน่ๆ ถ้าหากเราจะไม่เล่าถึงตำนานตะเกียงฟักทองหรือ ประเพณีแจ็ค โอ แลนเทริน (Jack-O-Lanterns) ตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช
ซึ่ง ได้เล่าไว้ว่า มีผู้ชายชื่อว่าแจ็ค โอ แลนเทริน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องดื่มเหล้าเมายาและมีกลลวงมากมาย เคยหลอกให้ซาตานปีนขึ้นไปบนต้นไม้ หลังจากนั้นแจ็คก็จะจัดการแกะสลักรูปไม้กางเขนลงไปบนลำต้นของต้นไม้นั้น ซึ่งทำให้ซาตานลงจากต้นไม้ไม่ได้ แล้วแจ็คก็ได้ทำการต่อรองกับซาตานว่าถ้าซาตานจะไม่จับตัวเขาไปเขาสัญญาว่าจะ ปล่อยซาตานลงจากต้นไม้นั้น
หลังจากแจ็ค โอ แลนเทริน ได้ตายไปแล้ว เขาปฏิเสธที่จะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เพราะเขามีความคิดไปในทางของความชั่วร้าย แต่เขาก็ยังปฏิเสธที่จะไปอยู่ที่นรกเพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับซาตานไว้ดั้ง นั้นซาตานได้ให้ถ่านไฟแก่เขาหนึ่งก้อนแทน เพื่อที่จะให้เขาใช้นำทางไปในทางที่มืดและหนาวเย็น ถ่านไฟก้อนนั้นได้ถูกใส่ไว้ข้างในของผักกาดที่กลวงแล้วเพื่อที่จะให้มันจุด อยู่ได้นาน
คนอังกฤษใช้ผักกาดกลวงนี้ตามแบบอย่างดั้งเดิมของ แจ็ค โอ แลนเทรินแต่เมื่อมีการโยกย้ายไปสู่อเมริกาพวกเขาพบว่าฟักทองนั้นสามารถหาได้ ง่ายกว่าผักกาด ดังนั้นรูปแบบแจ็ค โอ แลนเทรินในอเมริกาจะอยู่ในรูปของฟักทองกลวงและใส่ถ่านไฟไว้ข้างใน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Bigbang.. love u alway :)